1 มกราคม. 2513

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ VS พื้นไม้จริง: เลือกแบบไหนให้เหมาะกับบ้านยุคใหม่ (2025)

 

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ VS พื้นไม้จริง: เลือกแบบไหนให้เหมาะกับบ้านยุคใหม่ (2025)

การเลือกพื้นไม้สำหรับบ้านคือหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญ เพราะถือเป็นรากฐานของสไตล์และบรรยากาศทั้งหมด ในใจของผู้ที่หลงใหลในความงามตามธรรมชาติ มักจะมีตัวเลือกคลาสสิกอย่าง พื้นไม้จริง (Solid Wood) ที่เป็นที่สุดของความดั้งเดิมและหรูหรา แต่ในขณะเดียวกัน นวัตกรรมสมัยใหม่ก็ได้มอบทางเลือกที่น่าสนใจอย่าง พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน

แล้วระหว่างความงามเหนือกาลเวลา กับนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งาน แบบไหนคือคำตอบที่ “ใช่” สำหรับบ้านยุคใหม่ของคุณ? บทความนี้จะเปรียบเทียบทั้งสองวัสดุแบบเจาะลึกในทุกมิติสำคัญ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด

(หมายเหตุ: บทความนี้เป็นการเปรียบเทียบเชิงลึก หากคุณยังไม่คุ้นเคยกับพื้นไม้เอนจิเนียร์ สามารถอ่านภาพรวมทั้งหมดได้ที่นี่: 10 เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (คู่มือฉบับเต็ม))

ตารางเปรียบเทียบฉบับสรุป

คุณสมบัติ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ พื้นไม้จริง (Solid Wood)
โครงสร้าง ไม้จริงประกอบหลายชั้น (แกนกลางมักเป็นไม้เนื้ออ่อนหรือไม้แปรรูป) ไม้แผ่นเดียวตลอดความหนา
ความทนทานต่อสภาพอากาศ ทนสูง (โอกาสบิดงอ/หดตัวต่ำกว่าพื้นไม้จริง) ปกติ (ไวต่อความชื้นและอุณหภูมิเปลี่ยนแปลง)
การติดตั้ง ติดตั้งง่าย (ระบบ Click Lock หรือ กาว/ลอยตัว) ซับซ้อนกว่า (ต้องปูด้วยตะปู/กาว และอาจต้องมีตงไม้)
การขัดผิวทำสีใหม่ ทำได้จำกัด (1–2 ครั้ง ขึ้นกับความหนาหน้าไม้) ทำได้หลายครั้ง (2–3 ครั้งหรือมากกว่า หากไม้หนาพอ)
ราคา (เฉลี่ย) เข้าถึงง่ายกว่า ราคาสูง เพราะใช้ไม้จริงเต็มแผ่น
ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้ทรัพยากรไม้ต่อชิ้นน้อยกว่า ราคาย่อมเยาว์ การใช้ทรัพยากรไม้เนื้อแข็งสูง ทำให้ลดจำนวนไม้ในธรรมชาติ

วิเคราะห์เชิงลึก: เปรียบเทียบ 7 ปัจจัยสำคัญ

1. โครงสร้างและแก่นแท้ (Structure & Core Material) 

จุดแตกต่างที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ พื้นไม้จริงคือไม้ที่ถูกตัดและไสมาจากไม้ท่อนใหญ่เพียงท่อนเดียว เป็นวัสดุธรรมชาติ 100% ในขณะที่พื้นไม้เอ็นจิเนียร์คือโครงสร้างประกอบที่ชั้นบนสุดเป็นไม้จริง แต่ชั้นแกนกลางทำจากไม้อัด (Plywood) คุณภาพสูงที่วางสลับเสี้ยนไม้กันไปมา ซึ่งเป็นที่มาของคุณสมบัติพิเศษของมัน

2. ความทนทานต่อสภาพอากาศ (Climate Stability) 

ในสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างมาก พื้นไม้จริงตามธรรมชาติจะมีการ “หายใจ” คือการยืดและหดตัวตามความชื้นในอากาศ ซึ่งหากควบคุมไม่ดีอาจทำให้พื้นบิดงอหรือเกิดร่องระหว่างแผ่นได้ ในทางกลับกัน พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ถูกออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับปัญหานี้โดยเฉพาะ โครงสร้างที่วางสลับเสี้ยนไม้ช่วยต้านแรงบิด ทำให้คงสภาพเดิมได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ผู้ชนะในข้อนี้: พื้นไม้เอ็นจิเนียร์

3. ความสวยงามและสัมผัส (Aesthetics & Feel)

ในด้านความสวยงาม ทั้งสองประเภทให้ผลลัพธ์ที่แทบไม่แตกต่างกันเลย เพราะผิวหน้าที่เรามองเห็นและสัมผัสของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ก็คือ “ไม้จริง” นั่นเอง อย่างไรก็ตาม พื้นไม้จริงอาจให้ความรู้สึกที่หนักแน่นและเป็นหนึ่งเดียวมากกว่า ในขณะที่พื้นไม้เอ็นจิเนียร์อาจมีข้อจำกัดเรื่องความหนาของผิวหน้าไม้

4. ความยืดหยุ่นในการติดตั้ง (Installation Flexibility)

พื้นไม้จริงส่วนมากจะต้องติดตั้งบน “ตงไม้” ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ต้องเตรียมไว้ก่อน ทำให้มีขั้นตอนที่ซับซ้อนและไม่เหมาะกับการติดตั้งบนพื้นคอนกรีตโดยตรง ในขณะที่พื้นไม้เอ็นจิเนียร์สามารถติดตั้งได้หลากหลายวิธี ทั้งแบบลอยตัว (Floating) บนแผ่นโฟม หรือติดกาวทับพื้นเดิม (เช่น กระเบื้อง, ปูนขัดมัน) ได้เลย ทำให้เหมาะกับงานรีโนเวท, คอนโด, หรือบ้านที่สร้างเสร็จแล้วมากกว่า ผู้ชนะในข้อนี้: พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ( ใส่ backlink บนคำว่าพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ไปหน้า Product)

5. การดูแลรักษาและอายุการใช้งาน (Maintenance & Lifespan)

นี่คือจุดที่พื้นไม้จริงมีความได้เปรียบ ด้วยความที่เป็นไม้ตันทั้งแผ่น ทำให้สามารถขัดผิวเพื่อลบรอยและทำสีใหม่ได้หลายครั้ง (2-3 ครั้งขึ้นไป) ตลอดอายุการใช้งาน ซึ่งอาจยาวนานถึง 50-100 ปีหากดูแลดี ส่วนพื้นไม้เอ็นจิเนียร์จะถูกจำกัดจำนวนครั้งในการขัดผิว (1-2 ครั้ง) ตามความหนาของไม้ชั้นบนสุด ทำให้อายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 15-30 ปี ผู้ชนะในข้อนี้: พื้นไม้จริง

6. ราคาและการลงทุน (Cost & Investment)

โดยทั่วไป พื้นไม้เอ็นจิเนียร์จะมีราคาเริ่มต้นที่เข้าถึงง่ายกว่าพื้นไม้จริง (เมื่อเทียบไม้ชนิดเดียวกัน) และมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งที่ถูกกว่าเนื่องจากขั้นตอนที่ซับซ้อนน้อยกว่า ในมุมของการลงทุน พื้นไม้จริงอาจถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่เพิ่มมูลค่าให้บ้านได้สูงกว่าในระยะยาว แต่พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ก็ให้ความสวยงามหรูหราในงบประมาณที่คุ้มค่ากว่า

7. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact)

บ้านยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น การผลิตพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ใช้ทรัพยากรไม้ที่เติบโตช้าเฉพาะส่วนผิวหน้าบางๆ เท่านั้น ส่วนแกนกลางมักทำจากไม้ที่โตเร็วกว่า ทำให้เป็นการใช้ทรัพยากรป่าไม้ที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าพื้นไม้จริงที่ต้องใช้ไม้เนื้อแข็งทั้งแผ่น ผู้ชนะในข้อนี้: พื้นไม้เอ็นจิเนียร์

บทสรุป: พื้นไม้แบบไหนที่ “ใช่” สำหรับบ้านยุคใหม่ของคุณ?

ไม่มีคำตอบที่ “ดีที่สุด” เพียงหนึ่งเดียว มีแต่คำตอบที่ “เหมาะสมที่สุด” สำหรับไลฟ์สไตล์, งบประมาณ, และพื้นที่ติดตั้งของคุณ

เลือก “พื้นไม้จริง” เมื่อ:

  • คุณให้ความสำคัญสูงสุดกับความคลาสสิกและความเป็นต้นตำรับ
  • ต้องการอายุการใช้งานที่ยาวนานที่สุดและสามารถขัดผิวทำสีใหม่ได้เรื่อยๆ
  • พื้นที่ติดตั้งมีการควบคุมความชื้นและอุณหภูมิได้ดี
  • ไม่กังวลเรื่องงบประมาณและมองเป็นการลงทุนระยะยาว

เลือก “พื้นไม้เอ็นจิเนียร์” เมื่อ:

  • คุณอาศัยอยู่ในที่ที่มีความชื้นสูง
  • ต้องการความรวดเร็วและยืดหยุ่นในการติดตั้ง (โดยเฉพาะการรีโนเวทหรือติดตั้งในคอนโด)
  • ต้องการพื้นไม้สำหรับชั้นล่างที่ติดพื้นดิน
  • คุณให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและนวัตกรรม

ยังตัดสินใจไม่ได้? ให้เราช่วยคุณ

ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของ WoodDen พร้อมให้คำปรึกษาเชิงลึกและเปรียบเทียบตัวอย่างจริง เพื่อให้คุณได้พื้นไม้ที่ตอบโจทย์บ้านยุคใหม่ของคุณอย่างแท้จริง

Share

Share

 

Other Blogs & News

 
ห้องทำงานในบ้านปูพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ พร้อมโต๊ะยาวริมหน้าต่าง

10 เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (คู่มือฉบับสมบูรณ์ 2025)

10 เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (คู่มือฉบั […]

explore
 
R2 05355

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ มีกี่แบบ? ควรเลือกใช้แบบไหนดีที่สุด?

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์คืออะไร? พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ คือพื้น […]

explore
 
1500x950 1

Dining Table Sale 50%

ซื้อโต๊ะอาหารไม้สักยกชุดลดทันที 50% สินค้ากลุ่ม Dining […]

explore