การเปรียบเทียบผิวสัมผัสระหว่าง พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ VS พื้นไม้จริง
7 สิงหาคม 2568
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ VS พื้นไม้จริง: เลือกแบบไหนให้เหมาะกับบ้านยุคใหม่ (2025)
 

Table of Contents


การเลือกพื้นไม้สำหรับบ้านคือหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญ เพราะถือเป็นรากฐานของสไตล์และบรรยากาศทั้งหมด ในใจของผู้ที่หลงใหลในความงามตามธรรมชาติ มักจะมีตัวเลือกคลาสสิกอย่าง พื้นไม้จริง (Solid Wood) ที่เป็นที่สุดของความดั้งเดิมและหรูหรา แต่ในขณะเดียวกัน นวัตกรรมสมัยใหม่ก็ได้มอบทางเลือกที่น่าสนใจอย่าง พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน

แล้วระหว่างความงามเหนือกาลเวลา กับนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งาน แบบไหนคือคำตอบที่ “ใช่” สำหรับบ้านยุคใหม่ของคุณ? บทความนี้จะเปรียบเทียบทั้งสองวัสดุแบบเจาะลึกในทุกมิติสำคัญ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด

(หมายเหตุ: บทความนี้เป็นการเปรียบเทียบเชิงลึก หากคุณยังไม่คุ้นเคยกับพื้นไม้เอนจิเนียร์ สามารถอ่านภาพรวมทั้งหมดได้ที่นี่: 10 เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (คู่มือฉบับเต็ม))

ตารางเปรียบเทียบฉบับสรุป: พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ VS พื้นไม้จริง

คุณสมบัติ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ พื้นไม้จริง (Solid Wood)
โครงสร้าง ไม้จริงประกอบหลายชั้น (แกนกลางมักเป็นไม้เนื้ออ่อนหรือไม้แปรรูป) ไม้แผ่นเดียวตลอดความหนา
ความทนทานต่อสภาพอากาศ ทนสูง (โอกาสบิดงอ/หดตัวต่ำกว่าพื้นไม้จริง) ปกติ (ไวต่อความชื้นและอุณหภูมิเปลี่ยนแปลง)
การติดตั้ง ติดตั้งง่าย (ระบบ Click Lock หรือ กาว/ลอยตัว) ซับซ้อนกว่า (ต้องปูด้วยตะปู/กาว และอาจต้องมีตงไม้)
การขัดผิวทำสีใหม่ ทำได้จำกัด (1–2 ครั้ง ขึ้นกับความหนาหน้าไม้) ทำได้หลายครั้ง (2–3 ครั้งหรือมากกว่า หากไม้หนาพอ)
ราคา (เฉลี่ย) เข้าถึงง่ายกว่า ราคาสูง เพราะใช้ไม้จริงเต็มแผ่น
ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้ทรัพยากรไม้ต่อชิ้นน้อยกว่า ราคาย่อมเยาว์ การใช้ทรัพยากรไม้เนื้อแข็งสูง ทำให้ลดจำนวนไม้ในธรรมชาติ

วิเคราะห์เชิงลึก: เปรียบเทียบ 7 ปัจจัยสำคัญ

1. โครงสร้างและแก่นแท้ (Structure & Core Material) 

จุดแตกต่างที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ พื้นไม้จริงคือไม้ที่ถูกตัดและไสมาจากไม้ท่อนใหญ่เพียงท่อนเดียว เป็นวัสดุธรรมชาติ 100% ในขณะที่พื้นไม้เอ็นจิเนียร์คือโครงสร้างประกอบที่ชั้นบนสุดเป็นไม้จริง แต่ชั้นแกนกลางทำจากไม้อัด (Plywood) คุณภาพสูงที่วางสลับเสี้ยนไม้กันไปมา ซึ่งเป็นที่มาของคุณสมบัติพิเศษของมัน

2. ความทนทานต่อสภาพอากาศ (Climate Stability) 

ในสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างมาก พื้นไม้จริงตามธรรมชาติจะมีการ “หายใจ” คือการยืดและหดตัวตามความชื้นในอากาศ ซึ่งหากควบคุมไม่ดีอาจทำให้พื้นบิดงอหรือเกิดร่องระหว่างแผ่นได้ ในทางกลับกัน พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ถูกออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับปัญหานี้โดยเฉพาะ โครงสร้างที่วางสลับเสี้ยนไม้ช่วยต้านแรงบิด ทำให้คงสภาพเดิมได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ผู้ชนะในข้อนี้: พื้นไม้เอ็นจิเนียร์

3. ความสวยงามและสัมผัส (Aesthetics & Feel)

ในด้านความสวยงาม ทั้งสองประเภทให้ผลลัพธ์ที่แทบไม่แตกต่างกันเลย เพราะผิวหน้าที่เรามองเห็นและสัมผัสของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ก็คือ “ไม้จริง” นั่นเอง อย่างไรก็ตาม พื้นไม้จริงอาจให้ความรู้สึกที่หนักแน่นและเป็นหนึ่งเดียวมากกว่า ในขณะที่พื้นไม้เอ็นจิเนียร์อาจมีข้อจำกัดเรื่องความหนาของผิวหน้าไม้

4. ความยืดหยุ่นในการติดตั้งของ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ VS พื้นไม้จริง (Installation Flexibility)

พื้นไม้จริงส่วนมากจะต้องติดตั้งบน “ตงไม้” ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ต้องเตรียมไว้ก่อน ทำให้มีขั้นตอนที่ซับซ้อนและไม่เหมาะกับการติดตั้งบนพื้นคอนกรีตโดยตรง ในขณะที่พื้นไม้เอ็นจิเนียร์สามารถติดตั้งได้หลากหลายวิธี ทั้งแบบลอยตัว (Floating) บนแผ่นโฟม หรือติดกาวทับพื้นเดิม (เช่น กระเบื้อง, ปูนขัดมัน) ได้เลย ทำให้เหมาะกับงานรีโนเวท, คอนโด, หรือบ้านที่สร้างเสร็จแล้วมากกว่า ผู้ชนะในข้อนี้: พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ( ใส่ backlink บนคำว่าพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ไปหน้า Product)

5. การดูแลรักษาและอายุการใช้งาน (Maintenance & Lifespan)

นี่คือจุดที่พื้นไม้จริงมีความได้เปรียบ ด้วยความที่เป็นไม้ตันทั้งแผ่น ทำให้สามารถขัดผิวเพื่อลบรอยและทำสีใหม่ได้หลายครั้ง (2-3 ครั้งขึ้นไป) ตลอดอายุการใช้งาน ซึ่งอาจยาวนานถึง 50-100 ปีหากดูแลดี ส่วนพื้นไม้เอ็นจิเนียร์จะถูกจำกัดจำนวนครั้งในการขัดผิว (1-2 ครั้ง) ตามความหนาของไม้ชั้นบนสุด ทำให้อายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 15-30 ปี ผู้ชนะในข้อนี้: พื้นไม้จริง

6. ราคาและการลงทุน (Cost & Investment)

โดยทั่วไป พื้นไม้เอ็นจิเนียร์จะมีราคาเริ่มต้นที่เข้าถึงง่ายกว่าพื้นไม้จริง (เมื่อเทียบไม้ชนิดเดียวกัน) และมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งที่ถูกกว่าเนื่องจากขั้นตอนที่ซับซ้อนน้อยกว่า ในมุมของการลงทุน พื้นไม้จริงอาจถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่เพิ่มมูลค่าให้บ้านได้สูงกว่าในระยะยาว แต่พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ก็ให้ความสวยงามหรูหราในงบประมาณที่คุ้มค่ากว่า

7. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact)

บ้านยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น การผลิตพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ใช้ทรัพยากรไม้ที่เติบโตช้าเฉพาะส่วนผิวหน้าบางๆ เท่านั้น ส่วนแกนกลางมักทำจากไม้ที่โตเร็วกว่า ทำให้เป็นการใช้ทรัพยากรป่าไม้ที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าพื้นไม้จริงที่ต้องใช้ไม้เนื้อแข็งทั้งแผ่น ผู้ชนะในข้อนี้: พื้นไม้เอ็นจิเนียร์

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ VS พื้นไม้จริง แบบไหนที่ “ใช่” สำหรับบ้านยุคใหม่ของคุณ?

สรุปสั้น ๆ:

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ เหมาะกับอากาศร้อนชื้น ติดตั้งง่าย ราคาย่อมเยา
พื้นไม้จริง เหมาะกับบ้านที่ต้องการความคลาสสิกและใช้งานยาวนาน

ไม่มีคำตอบที่ “ดีที่สุด” เพียงหนึ่งเดียว มีแต่คำตอบที่ “เหมาะสมที่สุด” สำหรับไลฟ์สไตล์, งบประมาณ, และพื้นที่ติดตั้งของคุณ

เลือก “พื้นไม้จริง” เมื่อ:

  • คุณให้ความสำคัญสูงสุดกับความคลาสสิกและความเป็นต้นตำรับ
  • ต้องการอายุการใช้งานที่ยาวนานที่สุดและสามารถขัดผิวทำสีใหม่ได้เรื่อยๆ
  • พื้นที่ติดตั้งมีการควบคุมความชื้นและอุณหภูมิได้ดี
  • ไม่กังวลเรื่องงบประมาณและมองเป็นการลงทุนระยะยาว

เลือก “พื้นไม้เอ็นจิเนียร์” เมื่อ:

  • คุณอาศัยอยู่ในที่ที่มีความชื้นสูง
  • ต้องการความรวดเร็วและยืดหยุ่นในการติดตั้ง (โดยเฉพาะการรีโนเวทหรือติดตั้งในคอนโด)
  • ต้องการพื้นไม้สำหรับชั้นล่างที่ติดพื้นดิน
  • คุณให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและนวัตกรรม

ยังตัดสินใจไม่ได้? ให้เราช่วยคุณ

ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของ WoodDen พร้อมให้คำปรึกษาเชิงลึกและเปรียบเทียบตัวอย่างจริง เพื่อให้คุณได้พื้นไม้ที่ตอบโจทย์บ้านยุคใหม่ของคุณอย่างแท้จริง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์คืออะไร และต่างจากพื้นไม้จริงอย่างไร?
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์คือพื้นไม้จริงชั้นบน ประกบกับแกนกลางหลายชั้นแบบสลับเสี้ยน จึงทนต่อความชื้นและการบิดงอได้ดีกว่า ส่วนพื้นไม้จริงทำจากไม้เนื้อแข็งทั้งแผ่น ให้ความคลาสสิกและอายุการใช้งานยาวนานกว่า
ควรเลือกพื้นไม้เอ็นจิเนียร์แบบไหนที่เหมาะกับบ้านในพื้นที่ชื้น?
เลือกรุ่นที่มีแกนกลางไม้อัดคุณภาพสูง (Multi-ply) หน้ากว้างพอเหมาะ เคลือบ UV หรือ Lacquer หลายชั้น และติดตั้งด้วยระบบ Click-lock หรือกาวทับพื้นเดิม จะช่วยลดปัญหาบิดงอจากความชื้นได้มาก
วิธีดูแลรักษาพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ให้ใช้งานได้นาน
กวาดและดูดฝุ่นเป็นประจำ ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ทำความสะอาด หลีกเลี่ยงน้ำขังและสารเคมีรุนแรง ติดแผ่นรองขาเฟอร์นิเจอร์ และเช็ดคราบทันที จะช่วยยืดอายุการใช้งานและคงความสวยงามได้นาน
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ราคาประมาณเท่าไหร่ต่อตารางเมตร?
ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,000–3,000 บาทต่อตารางเมตร ขึ้นอยู่กับชนิดไม้ ความหนาหน้าไม้ และการเคลือบผิว ควรขอใบเสนอราคาจากผู้จำหน่ายเพื่อความแม่นยำตามรุ่นและพื้นที่ติดตั้งจริง
ข้อดีข้อเสียของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์เมื่อเทียบกับวัสดุพื้นอื่น
ข้อดี: ผิวสัมผัสเป็นไม้จริง เสถียรต่อความชื้น ติดตั้งง่าย และคุ้มค่ากว่างานรีโนเวท
ข้อสังเกต: ขัดทำสีใหม่ได้จำกัด ต้องดูแลไม่ให้มีน้ำขังหรือรอยขีดข่วนรุนแรง



เกี่ยวกับผู้เขียน

ทีมงาน WoodDen Thailand ผู้เชี่ยวชาญด้านพื้นไม้จริงและพื้นไม้เอ็นจิเนียร์
มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปีในการคัดสรรและติดตั้งพื้นไม้สำหรับบ้านและโครงการทั่วประเทศ
พร้อมให้คำปรึกษาเชิงลึกเพื่อช่วยให้เจ้าของบ้านเลือกวัสดุที่เหมาะสมที่สุด

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรา

แหล่งอ้างอิง & ข้อมูลเพิ่มเติม

ข้อสงวนสิทธิ์ (Disclaimer)

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับพื้นไม้จริงและพื้นไม้เอ็นจิเนียร์
ไม่ได้เป็นคำแนะนำทางวิศวกรรมหรือการก่อสร้างเฉพาะบุคคล
หากคุณต้องการคำปรึกษาเชิงลึกที่เหมาะสมกับบ้านหรือโครงการ กรุณาติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญ WoodDen โดยตรง

Share

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ VS พื้นไม้จริง: เลือกแบบไหนให้เหมาะกับบ้านยุคใหม่ (2025)

Share

 

Other Blogs & News

 
ห้องนั่งเล่นสไตล์มินิมอลกับพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ลายก้างปลาโทน Natural Flat โอ๊คอ่อน ตัวอย่างการเลือกสีและลายพื้นไม้เอ็นจิเนียร์

คู่มือเลือกสีและลายพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ให้เข้ากับสไตล์บ้าน

คู่มือเลือกสีและลายพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ให้เข้ากับสไตล์บ […]

explore
 
การดูแลพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ในบ้านพักอาศัยให้ดูใหม่อยู่เสมอ

การดูแลและทำความสะอาดพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ให้ใช้งานได้ยาวนาน

คนไทยหันมาเลือก พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ กันมากขึ้น เพราะให้ […]

explore
 
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ vs SPC ในห้องนอน

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ vs SPC เลือกแบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ (อัปเดต 2025)

ในยุคที่การเลือกวัสดุตกแต่งบ้านมีตัวเลือกมากมาย การตัดส […]

explore